webtumwai.com=> สุขภาพ


สุขภาพ

สาเหตุ ของการหลั่งเร็ว เกิดจากอะไร สาเหตุ ของการหลั่งเร็ว เกิดจากอะไร

สาเหตุ ของการหลั่งเร็ว เกิดจากอะไร

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

สาเหตุ ของการหลั่งเร็ว เกิดจากอะไรนั้น ผู้ชายส่วนมากก็มักเจอปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งเร็วจนเกินไปจนทำให้คู่นอนของเขาไม่ได้รับความสุขอย่างถึงที่สุด จนบางรายเกิดความไม่เข้าใจกันก็มีปัญหาในเรื่องนี้ก็มีให้เห็นบ่อยกันไป

ดังนั้นเราลองมาดูสาเหตุที่ทำให้การหลั่งของฝ่ายชายกันดีกว่าว่าเพราะอะไรถึงทำให้หลั่งเร็วกว่าปกติ

สาเหตุทางกายนั้นอาจเป็นผลมาจากความบกพร่องในการแข็งตัวขององคชาต ทำให้หลั่งน้ำอสุจิเร็วเนื่องจากกลัวว่าองคชาตจะอ่อนตัวก่อนที่จะถึงจุดสุด ยอด ในบางราย ก็พบว่า เกิดจากความไวต่อการสัมผัสที่ผิวหนังขององคชาติ

และอีกสาเหตุของการหลั่งเร็วนั้นยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่เชื่อกันว่า เป็นได้ทั้ง จากปัญหาทางจิตใจและโรคทางกายที่เกี่ยวกับระบบประสาท ในรายที่อายุยังน้อยมัก จะเกิดจากความวิตกกังวล ความกลัวต่อการตั้งครรภ์ การประหม่าหรือตื่นเต้น ซึ่งเมื่อได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางเพศและเรียนรู้วิธีการยืดระยะเวลาก็จะ ปรับตัว จนหลั่งได้เป็นปกติไปเอง


วิธีแก้หลั่งเร็วแบบเร่งด่วนเฉพาะกิจ

1.    ใช้ถุงยางอนามัย แน่นอนว่าถุงยางอนามัยในปัจจุบันมีการคิดค้นถุงยางชะลอการหลั่งมาเพื่อแก้ปัญหาให้หนุ่มๆได้เลือกใช้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นถุงยางอนามัยที่มีสารเบนโซเคน (Benzocaine) หรือถุงยางอนามัยที่มีเจลหล่อลื่นแบบเย็น หรือหรือถุงยางอนามัยที่ออกแบบมาให้หนาเป็นพิเศษเพื่อลดความรู้สึกก็ตาม ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้นตามความชื่นชอบของแต่ละคน ทั้งนี้ถุงยางอนามัยยังช่วยป้องกันโรคติดต่อได้อีกด้วย ถือว่าเป็นวิธีที่แสนง่าย และปลอดภัยที่น่าสนใจมากที่สุด

2.    ใช้ผลิตภัณฑ์ชะลอการหลั่ง ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งในรูปแบบครีมชะลอการหลั่ง และ สเปรย์ชะลอการหลั่ง ให้เลือกใช้ ซึ่งให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคลมากกว่า โดยยาเหล่านี้มักใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นหลัก และผ่านการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้มีความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งทั้งแบบครีมและสเปรย์จะเป็นผลิตภัณฑ์แบบใช้แล้วล้างออก โดยมันจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการหลั่งได้ทันตาเห็น เพราะจะช่วยลดการรับรู้ความรู้สึกจากการสัมผัสของคุณได้โดยตรงเนื่องจากออกฤทธิ์ให้อวัยวะเพศชา แต่ทั้งนี้ก็มีข้อควรระวังในการใช้งานปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้ไม่รู้สึกอะไรเลยในการร่วมเพศได้ด้วย

3.    อาหารเสริมท่านชาย  การรับรับประทานอาหารเสริมท่านชาย เพื่อชะลอการหลั่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้ผลดีเยี่ยมทันตาเห็น และให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดกว่า 2 วิธีด้านบน เพราะเป็นการโดยเข้าไปปรับระดับเซโรโทนิน (serotonin) และ โดพาไมน์ (dopamine) ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวกำหนดเวลาการหลั่งของเพศชายโดยตรง จึงทำให้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วสามารถควบคุมการหลั่งได้ และยังช่วยเรื่องการแข็งตัวได้ดีขึ้นด้วย! อาหารเสริมท่านชายเหล่านี้จะเป็นชนิดรับประทานก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ทันที รับประทานเฉพาะเมื่อต้องการผลเท่านั้น มีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย ไม่จำเป็นต้องทานต่อเนื่องจึงทำให้ในปัจจุบันได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีการรับรองความปลอดภัยจาก อย. เรียบร้อยแล้ว






ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2018-01-26 12:05:01




ลดไขมัน ลดพุง ด้วยสมุนไพรสูตรน้ำกระเจี๊ยบ อร่อยและได้ประโยชน์ ลดไขมัน ลดพุง ด้วยสมุนไพรสูตรน้ำกระเจี๊ยบ อร่อยและได้ประโยชน์

ลดไขมัน ลดพุง ด้วยสมุนไพรสูตรน้ำกระเจี๊ยบ อร่อยและได้ประโยชน์

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด


ลดไขมัน ลดพุง ด้วยสมุนไพรสูตรน้ำกระเจี๊ยบ อร่อยและได้ประโยชน์ สำหรับสาวๆท่านใดที่ต้องการมีหุ่นสวย สุขภาพดี ไม่มีไขมัน วันนี้เรามีสูตรเด็ดที่ทำได้ง่ายๆเอามาฝากกันนะครับ ซึ่งหลายๆท่านก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้วเกี่ยวกับน้ำกระเจี๊ยบที่กินแล้วมีรสออกเปรี้ยวหวานอร่อยและสดชื่น

แต่ด้วยสรรพคุณของน้ำกระเจี๊ยบเองก็สามารถใช่ให้เราลดน้ำหนักและสลายไขมันส่วนเกินออกไปได้อย่างง่ายๆด้วยสูตรสมุนไพรที่สามารถทำได้เองง่ายๆ ไม่มีอันตรายต่อร่างกัน และกินได้บ่อยๆ อร่อยด้วย



กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง เป็นสมุนไพรที่เต็มไปด้วยสรรพคุณเพื่อสุขภาพมากมาย เพราะจะช่วยลดระดับไขมันเลวในร่างกาย และเพิ่มระดับไขมันดีเข้ามาทดแทน นอกจากนี้ กระเจี๊ยบแดงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีใกล้เคียงกันกับบลูเบอร์รี เชอร์รีและแครนเบอร์รีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ กระเจี๊ยบแดงจึงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งได้ ทั้งยังสามารถช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของวัย ทำให้ไม่แก่เร็วได้อีกด้วย สำหรับในส่วนของกระเจี๊ยบแดงที่ได้รับความนิยมในการนำมาบริโภคก็คือ ผลและกลีบเลี้ยงนั่นเอง โดยนำมาคั้นทำเป็นเครื่องดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง หรือจะนำมาทำเป็นสารสกัดจากกระเจี๊ยบแดงเพื่อบำรุงสุขภาพแทนก็ได้เช่นกัน


เรามาดูวิธีทำและส่วนผสมที่แสนง่ายดายกันดีกว่า

1. นำดอกกระเจี๊ยบ มาล้างน้ำให้สะอาด

2. นำไปต้มใช้เวลา 20 นาที แล้วกรองเอากากออก

3. เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปตามต้องการ

** ปริมาณอัตราส่วนผสมก็ใส่ได้ตามต้องการ ไม่มีสูตรตายตัว เน้นที่ความอร่อย และคุณค่าในการลดไขมัน
** พระเอกหลักของเราก็คือน้ำกระเจี๊ยบนั่นเอง

เห็นมั้ยล่ะ ว่าง่ายๆที่นี้เองไม่ต้องผสมอะไรให้ซับซ้อน แต่ก็สามารถทำกินเองได้ที่บ้าน อีกทั้งยังสามารถทำเก็บแช่ตู้เย็นแล้วดื่มแทนน้ำเปล่าได้เลย










ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2018-01-26 12:04:14




การลดพุง ได้ผลเร็ว แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ การลดพุง ได้ผลเร็ว แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์

การลดพุง ได้ผลเร็ว แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด


การลดพุง ได้ผลเร็ว แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ เหมาะกับท่านที่มีงบน้อยแต่ต้องการลดพุงที่ได้ผล

วิธีนี้เรียกว่า Prone knee to opposite elbow เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างมากในต่างประเทศ ซึ่งผู้ชายก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ผู้หญิงก็สามารถใช้ดี มันสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดการเรียงตัวกระชับเป็นกล้ามเนื้อซิคแพคสวยงาม



ทำ 3-4 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง

           เริ่มต้นด้วยการเตรียมพร้อมในท่าวิดพื้นแบบมาตรฐาน จากนั้นยกหัวเข่าขวาเข้าหาข้อศอกซ้ายให้ใกล้ที่สุด โดยลักษณะการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นไปในแนวเฉียง จากนั้นจึงสลับทำแบบเดียวกันกับหัวเข่าด้านซ้าย พร้อมกันนี้ก็ควรระวังอย่าให้สะโพกและเท้าเคลื่อนที่

การลดพุง ได้ผลเร็ว แบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ด้วย Prone knee to opposite elbow นี้ จะช่วยให้คุณลดพุงและมีหุ่นที่ดีขึ้นในเร็ววัน คำแนะนำของเราขอให้คุณทำอย่างต่อเนื่อง แล้วซิคแพคจะเกิดขึ้นให้คุณเห็นอย่างเร็ววัน

นอกจากนี้เรายังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมอีกช่องทางนึงในการลดพุงของเราให้ได้ผลรวดเร็วแบบติดสปีดยิ่งขึ้น







ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2018-01-25 12:13:45




เทคนิค ซิคแพค ด้วยวิธี Overhead bench squats ได้ผลเร็วจนเหลือเชื่อ เทคนิค ซิคแพค ด้วยวิธี Overhead bench squats ได้ผลเร็วจนเหลือเชื่อ

เทคนิค ซิคแพค ด้วยวิธี Overhead bench squats ได้ผลเร็วจนเหลือเชื่อ

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

ใครๆก็ต้องการมีหุ่นดีไม่มีพุงที่ยื่นย้อยออกมา ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เรามีกล้ามท้องไวๆจำเป็นต้องออกกำลังเฉพาะส่วนที่ถูกวิธี โดนเน้นที่กล้ามท้องเป็นหลักเพื่อให้เกิดซิคแพคแบบสมบูรณ์และสมส่วน

ทำให้ร่างกายดูเฟิร์ม ใครๆเห็นก็ต้องเกิดความหลงไหลอย่างแน่นนอน ซึ่งนอกจาการคุมเรื่องของอาหารแล้วการออกกำลังกายมีความสำคัญไม่แพ้กันเลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิค ซิคแพคแบบ Overhead bench squats ที่ได้ผลเร็วและทำได้ง่ายๆที่บ้าน

Overhead bench squats

ทำ 3-4 เซต เซตละ 20-30 ครั้ง

           อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการบริหารท่านี้คือเวทบาร์ที่มีขนาดเหมาะสม เมื่อพร้อมแล้วให้เริ่มจากการจับเวทบาร์ให้สมดุลด้วยมือทั้งสองข้างแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นค่อย ๆ ย่อตัวลงในท่า Squats ขณะที่รักษาตำแหน่งของหน้าอกและศีรษะให้ตั้งตรงตลอดเวลา หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ ยืนขึ้นกลับสู่ตำแหน่งเดิม

ซิคแพคแบบ Overhead bench squats ด้วยวิธีง่ายๆแค่นี้ที่ทุกคนอาจมองข้ามไป มันจะช่วยให้เกิดซิคแพคได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลที่ชัดเจนมากๆภายใน 1 - 3 เดือนกันเลยทีเดียว อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องลองด้วยตนเองนะ





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2018-01-25 11:53:29




หูด เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร หูด เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

หูด เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

บางคนก็เคยเป็นหูด บางคนก็ไม่เคยเป็นหูด บางคนก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหูดคืออะไร แต่ที่แน่ๆหากใครที่เคยเป็นแล้วย่อมไม่ยากเป็นอีกแน่นนอน เพราะมันจะขึ้นเป็นตุ่มผิวหนังแข็งๆ ซึ่งดูแล้วไม่สบอารมณ์ หากใครเป็นอยู่หรืออยากจะรู้ว่าหูดคืออะไร ลองมาเก็บข้อมูลของหูดกันเถอะ
 
หูดคืออะไร
หูดคือผิวหนังที่ติดเชื้อไวรัส papillomavirus เชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งโดยการสัมผัส

อาการของโรค
อาการ จะเป็นก้อนที่ผิวหนัง ลักษณะผิวอาจจะเรียบ หรือขรุขระ สีอาจจะสีขาว ชมพู หรือสีน้ำตาล อาจจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ แต่ที่ๆพบบ่อยคือ นิ้วมือ แขน ขา

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Papova virus เกิดจากการสัมผัสโดยตรงต่อเชื้อนี้ ระยะผักตัวประมาณ 1-6 เดือนแบ่งตามละกษณะของผื่น และตำแหน่งที่พบ
 
หูดติดต่อกันอย่างไร
วิธีการติดต่อของหูดทั้ง 3 ชนิด คือ ติดต่อทางการสัมผัสเชื้อโดยตรง (direct contact) เช่น ถ้าคุณผู้อ่านมีรอยถลอก หรือมีแผล ตามมือ เท้า แขน แล้วอยู่ดี ๆ ก็ไปสัมผัสกับคนที่เป็นหูดนี้ โดยที่ตัวคุณไปสัมผัสเข้ากับเจ้าตุ่มเม็ดหูดนี้โดยตรงเลย เชื้อไวรัสหูดนี้ ก็จะสามารถแพร่กระจาย มาที่ตัวคุณผู้อ่านได้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่แล้ว คนที่เป็นหูด ระยะแรกจะมีเม็ดเดียว ต่อมาเกิดรำคาญหงุดหงิดใจ ก็เลยลองแกะดูเล่น ๆ หรือพยายามใช้กรรไกรตัดเล็บตัดออก แกะไปแกะมา จะทำให้เกิดการแพร่กระจาย ของเชื้อไวรัสหูดนี้ได้ ดังนั้นช่วงแรก อาจเป็นหูด 1 เม็ด ต่อมาไม่นาน กลายเป็นหูดถึง 10-20 เม็ดเชียวนะ อย่าทำเป็นเล่นไป
 
การรักษาด้วยตัวเอง
 
พึงระลึกเสมอว่าหูดเกิดจากเชื้อไวรัสหายเองได้ 65 % ในเด็กร้อละ 50 หายภายใน 6 เดือน ร้อยละ 90 หายใน 2 ปี ดังนั้นการใช้ยาทาไม่ควรใช้แรงเกินไป การรักษามีหลายวิธีควรเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง

 
การใช้ plaster
    ใช้ plaster กันน้ำปิดบริเวณที่เป็นหูดหลายชั้น ใช้ได้ผลดีกับหูดที่เล็บ ปิดไว้ประมาณ 6 วัน  แกะ plaster ออก 12 ชั่วโมงและติด plaster ซ้ำ โดย plaster จะลดอากาศและความชื้นทำให้เชื้อไม่เจริญเติบโต

 
การใช้กรด salicylic
    กรด salicylic ที่ขายตามร้านขายยามีด้วยกันสองรูปแบบ คือแบบน้ำยา หรือแบบ plaster อาบน้ำยา
    บริเวณที่เป็นหูดให้แช่น้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที
    หลังจากนั้นใช้ตะไบเนื้อที่แข็งออก
    ทายาหรือปิด plaster

 
การใช้ธูป
อันนี้เป็นวิธีโบราณหน่อยนะ แต่ใช้ได้ผลดีเพราะลองมากับตัวเองเลยก็ว่าได้ หลายคุณที่กำลังอ่านวิธีนี้คงคิดไปแล้วว่าต้องจุดธูปขอให้เทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยให้หูดหายแน่ๆเลย  แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ แน่นอนว่าเป้าหมายของเราคือ....การนำธูปที่จุดไฟร้อนๆแดงๆนี่แหละ แล้วจี้ไปเลยที่หัวของหูด  คำถามต่อมาคือ เจ็บไหม , ไม่กล้าทำอ่ะ..กลัว อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้นครับ เพราะว่าการใช้ธูปจี้ที่หัวของหูดนั้นความเจ็บน้อยกว่ามดแดงกัน เพราะเนื้อหูดนั้นมีความแข็งทำให้ไม่รู้สึกเหมือนกับเอาธูปจี้ที่ผิวหนังโดยตรง ในขณะจี้อยู่หากรู้สึกร้อนก็เอาธูปออก จากนั้นก็จี้ใหม่ๆ ทำไปเรื่อยๆจนธูปหมด ทำแบบนี้ทุกวัน

 
จะสังเกตได้ว่าหากการจี้ธูปต่อเนื่องจะทำให้หัวหูดแห้ง และเราจะแทบไม่รู้สึกร้อนเหมือนกับวันแรกที่จี้เลยก็ว่าได้ หูดหัวแห้งแล้ว หัวหูดมันก็จะแตกแบบแห้งๆ คล้ายๆ กับแผ่นดินที่แห้งแล้งแตกแขนง ซึ่งเราสามารถแกะเนื้อหูดที่แห้งตรงนั้นออกมาได้ และยินดีด้วยคุณได้รักษาหูดหายแล้ว นั่นคือวิธีที่ผมเคยทำแล้วหายมาจนถึงทุกวันนี้  ตอนที่ใช้ธูปจี้นั้น น้าแถวๆบ้านเค้าจี้ให้ตอนผมอายุ 6 ขวบเท่านั้น  ขนาดเป็นเด็กๆยังทนความร้อนได้เลย ดังนั้นคุณผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวครับ






ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-18 12:43:13




ประจำเดือนมีสีดำ -- เกิดจากอะไร ประจำเดือนมีสีดำ -- เกิดจากอะไร

ประจำเดือนมีสีดำ -- เกิดจากอะไร

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

ประจำเดือนสีสด หรือสีคล้ำบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของเราอย่างที่สงสัยรึเปล่า?? ลองมาอ่านดูนะคะ เรื่องสีของประจำเดือนก็เป็นเรื่องชวนปวดหัวทั้งๆ ที่สีของประจำเดือนนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายเลยล่ะค่ะ
 
มีคุณผู้หญิงหลายๆ คนที่ไปพบหมอสูติฯ ด้วยเรื่องประจำเดือนออกมาสีดำกว่าปกติ กลัวว่าจะเป็นเลือดเสียมีปัญหาข้างในมดลูกหรือเปล่าหรือถ้าเลือดสีดำออกมาน้อยไปหน่อย ก็กลัวว่าเลือดเสียมันจะตกค้างอยู่ข้างใน เมื่อมีสีคล้ำไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนตอนอายุประมาณ 12-13 ปี แต่ในปัจจุบันมีเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมีประจำเดือนเร็วกว่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประจำเดือนมาเร็วกว่าปกติก็คือ โรคอ้วน
 
แต่ที่จริงแล้วเลือดประจำเดือนของเราไม่ใช่เลือดเสียนะคะคนเราไม่ได้ขับของเสียออกมาทางประจำเดือนมดลูกมีหน้าที่สืบพันธุ์เพียงอย่างเดียว ประจำเดือนไม่ได้มีสีแดงสดเสมอไปบางคนมีประจำเดือนออกมาเป็นสีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำ ก็เกิดเป็นกังวล กลัวว่าจะเป็นเลือดเสีย หรือมีปัญหาข้างในมดลูกแท้จริงแล้วประจำเดือนสีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใดประจำเดือนสีดำ เป็นอะไร
 
การที่เลือดประจำเดือนเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น เพราะไปติดค้างอยู่ในช่องคลอดเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นตอนประจำเดือนเริ่มมาใหม่ ๆ ในวันแรก หรือช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะหมด เลือดประจำเดือนที่ออกมามักจะมีน้อย และค่อย ๆ ไหลซึมออกมาช้า ๆ ทำให้เกิดการติดค้างอยู่ในช่องคลอดเป็นเวลานานเลือดสีคล้ำก็คือเลือดที่ออกมานานแล้ว และเกิดปฏิกิริยาแข็งตัวขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นสีดังกล่าว

 
ลองเปรียบเทียบกับตอนมีดบาด จะทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น หากลองสังเกตดูจะเห็นได้ว่า ตอนที่มีดบาดใหม่ ๆ เลือดจะมีสีแดงสด ต่อมาก็จะค่อย ๆ แข็งตัว แล้วสีก็จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำขึ้น
 
 
ส่วนหน้าที่ขับถ่ายของเสียเป็นหน้าที่ของไตและตับ ออกมาเป็นปัสสาวะ อุจจาระ แต่ด้วยความบังเอิญว่า ช่องคลอดของเราดันไปอยู่ตรงกลางระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนักพอมีประจำเดือนออกมาก็เลยเหมาเอาว่า เป็นการขับของเสียด้วยเหมือนกัน

 
รู้อย่างนี้แล้ว คราวหน้าหากพบว่ามีประจำเดือนสีน้ำตาลหรือสีดำคล้ำมากกว่าปกติก็ไม่ต้องตกใจ ไป เพราะสีประจำเดือนที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพและก็ไม่ได้เป็นโรคภัยใด ๆ ทั้งสิ้น






ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-08 17:29:35




ไมเกรน - เป็นอย่างไร ไมเกรน - เป็นอย่างไร

ไมเกรน - เป็นอย่างไร

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

อาการปวดหัวนั้นมีหลากหลาย บ้างก็ปวดหัวตรงกลาง บ้างก็ปวดตรงขมับ มึน งง เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งปวดหัวข้างเดียวอย่างที่รู้จักในชื่อ ไมเกรน หรือ ลมตะกัง ซึ่งหลาย ๆ คนมีอาการเช่นนี้อยู่ จึงรู้ดีว่ามันทุกข์ทรมานมากขนาดนี้

ไมเกรน
เป็นโรคปวด ศีรษะชนิดหนึ่ง อาการปวดเป็นพักๆ เป็นๆ หายๆมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งประมาณ 8-12 ชั่วโมง บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง

อาการปวดไมเกรน จะแย่ลงถ้ามีการเคลื่อนไหว ขณะปวดมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วม ด้วย ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มีอาการนำก่อนปวด เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วครู่ ชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย อาการนำมักเป็นอยู่ประมาณ 520 นาที
 
สาเหตุที่แท้จริงของปวดศีรษะไมเกรนยังไม่มีใครทราบ แต่เชื่อว่าสมองของผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนมีการไวในการตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมไมเกรนเป็นอย่างไรซึ่งอาจจะอยู่นอกร่างกาย หรืออยู่ภายในร่างกายทำให้หลอดเลือดมีการอักเสบ เมื่อหลอดเลือดขยายจึงปวดศีรษะ สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด ทราบว่าไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกาย (รวมทั้งสมอง) แต่ทุกครั้งที่กำเริบ จะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาทภายในสมองและบริเวณใบ หน้า กล่าวคือ หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลกศีรษะ (เช่น ที่ขมับ) พองตัว และประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะจำเพาะและอาการต่าง ๆ ร่วมด้วย
 
โรคไมเกรนนี้พบในเพศหญิงมากกว่าชาย
เริ่มอาการครั้ง แรกในวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว อาการเป็นๆ หายๆ ถี่หรือห่างแล้วแต่บุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อม บางคนอาการจะหายไปเมื่ออายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการ ไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี


ไมเกรนกับคุณผู้หญิง
ผู้หญิงและผู้ชายเป็นไมเกรนได้ทั้งสองเพศแต่ผู้หญิงจะเป็นบ่อยกว่า บางคนปวดขณะมีประจำเดือนและหายไปเมื่อตั้งครรภ์ ผู้ป่วยบางคนเมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและถี่ขึ้น บางคนไม่เคยเป็นไมเกรนแต่หลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดก็เกิดอาการปวดศีรษะไม เกรน ทั้งนี้เนื่องจากยารักษาไมเกรนแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมของเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนระดับต่างๆกัน อาจจะแก้ไขโดยการเปลี่ยนชนิดของยาคุมกำเนิดหรือใช้ยี่ห้ออื่น และเมื่อพบว่ายาคุมทำให้คุณปวดศีรษะเพิ่มขึ้นคุณควรไปปรึกษาแพทย์
 
ปัจจัยกระตุ้นไมเกรน

  1. อาหาร การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
    การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารที่ใส่ผงชูรส ใส่สารถนอมอาหาร
    อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ สารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น คาเฟอีน
    ช๊อคโกแล็ต ผงชูรส สารไนเตรท สารไทรามีน
  2. การนอนหลับ การนอนหลับมากหรือน้อยเกินไปสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้
    จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าฮอร์โมนเมลาโทนินเกี่ยวข้องกับการขยายและหดตัวของหลอดเลือดในสมอง
  3. ฮอร์โมน ผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน
    และความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าหรือการปวดในช่วงอื่น การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ มักจะทำให้อาการปวดไมเกรนแย่ลง
  4. สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศร้อน ตากแดด กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
  5. ความหิว มีการศึกษาวิจัยพบว่าความหิวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไมเกรนเท่าๆ กับความวิตกกังวล ความโกรธ และภาวะซึมเศร้า
  6. ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดและไม่สามารถจัดการกับความเครียดในการดำเนินชีวิตประจำ วันได้ จะมีโอกาสเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่ เครียด


วิธีการรักษาขณะปวดไมเกรน
1. รีบกินยาบรรเทาปวด (เช่น พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด) ทันทีที่เริ่มมีอาการ อย่ารอให้ปวดนานเกิน 30 นาที จะได้ผลน้อย ผู้ป่วยจำเป็นต้องพกยาแก้ปวดติดตัว จะได้กินทันทีที่เริ่มมีอาการ
2. หาทางนอนพัก หรือนั่งพัก
3. หลีกเลี่ยงที่ที่อบอ้าว มีแสงจ้าหรือเสียงดัง หยุดการเคลื่อนไหวร่างกาย และการเดินขึ้นลงบันได

 ถ้าคลื่นไส้มาก ให้กินยาแก้คลื่นไส้อาเจียน (ตามคำแนะนำของหมอ) ควบไปด้วย ในกรณีที่ใช้พาราเซตามอลไม่ได้ผล (พบได้ประมาณร้อยละ 20-30) แพทย์อาจให้ยาบรรเทาชนิดอื่น เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ทามาดอล (tamadol) เออร์โกทามีน (ergotamine) ชูมาทริปแทน (sumatriptan) เป็นต้น ซึ่งควรกินเป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาปวด
 
 
 
 
 





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-08 17:13:12




การนอนหลับที่ดีส่งผลต่อสุขภาพของคุณ การนอนหลับที่ดีส่งผลต่อสุขภาพของคุณ

การนอนหลับที่ดีส่งผลต่อสุขภาพของคุณ

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

 
การนอนหลับ ยาดีที่หลายคนมองข้าม
การนอนหลับพักผ่อนนั้น เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด และถือเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นกับทุกคน แต่คนเราสมัยนี้ จำเป็นต้องมองข้ามมันไปเพราะเหตุปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น เรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องเพศตรงข้าม เรื่องครอบครัว และอีกมากมายในชีวิตที่เราต้องจัดการกับมัน ปัญหาเหล่านี้ อาจก่อความเครียดและเป็นปัญหากับการพักผ่อนที่น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ และการอดนอนมีผลเสียมาก ตั้งแต่ การอดนอนในเด็ก จะเป็นอุปสรรค์ต่อการเจริญเติบโต ทำให้ไม่สูง ไม่ฉลาด สมาธิสั้น ภูมิต้านทานโรคน้อย การอดนอนในวัยรุ่น จะทำให้ หน้าตาหมองคล้ำ อ้วนง่าย เครียดง่าย อารมณ์แปรปรวน ไม่สดชื่น การอดนอนในวัยผู้ใหญ่ ทำให้รู้สึกมึน ๆ ซึม ๆ เบลอ ๆ หน้าตาหมองคล้ำ ไม่กระตือรือร้น ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย และแน่นอนว่าทำให้สุขภาพทรุดโทรม ย่ำแย่ และป่วยง่าย นะคะ
ข้อควรรู้ การนอนหลับให้เพียงพอนั้น ไม่ใช่การนอนหลับตาแล้วฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อยู่ในหัว แต่เป็นการเข้าสู่การหลับให้ครบทั้ง 5 ขั้นตอนต่างหาก การนอนหลับให้เพียงพอ ไม่ได้หมายถึงนอนไปซัก 3-4 ชั่วโมงแล้วตื่นมา แล้วนอนใหม่ อีก 4 ชั่วโมงแล้วมานับเป็น 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงนะ เพราะการตื่นใหม่ร่างกายก็จะเริ่มใหม่ ไม่มีการนับต่อ แน่นอนว่ามันไม่ต่างอะไรกับเรานอนแค่ 3-4 ชั่วโมงเลย ทั้ง  ๆ ที่ควรจะนอน 7 – 8 ชั่วโมง
 
ประโยชน์และความสำคัญของการนอนหลับพักผ่อนเพียงพอคือ
ทำให้กล้ามเนื้อและระบบต่าง ๆ ในร่างกายเราได้คลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน การนอนหลับมีผลดีต่อทุกระบบในร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร ในตอนที่เราหลับสนิท ไขมันของเราจะหลั่ง ฮอร์โมนแลปติน ออกมาหน้าที่ส่งสัญญาณให้สมองระงับความอยากอาหาร พร้อมๆ กับกระตุ้นการเผาผลาญในขณะที่เรานอนหลับ ฮอร์โมนตัวนี้จะหลั่งได้เฉพาะตอนที่เราหลับพักผ่อนเพียงพอเท่านั้น    แต่ถ้า เราหลับไม่เพียงพอ ร่างกกายมันจะหลั่ง ฮอร์โมนเกรลิน ออกมาแทน ตัวนี้ ทำให้เรารู้สึกอยากอาหาร กิน แล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แล้วก็จะอ้วนค่ะ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนั้น มีผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายทุกระบบ โดยเฉพาะ สมอง เวลาเรานอน สมองจะทำงาน 5 ขั้นตอนคือ
ขั้นที่ 1 ครึ่งหลับครึ่งตื่น เป้าหมายเพื่อนเตรียมหลับ ถ้าตื่นมาตอนนี้จะไม่ต่างอะไรกับการที่เราไม่ได้นอนเลย
ขั้นที่ 2 เริ่มหลับ ดวงตาของเราจะหลับ ไม่ตอบสนอง 
ขั้นที่ 3 สมองเตรียมตัวทำงาน คลื่นสมองจะกว้างขึ้น สลับกับการกระตุกของประจุไฟฟ้า ลักษณะเหมือนการเดินทางข้ามมิติ 
ขั้นที่ 4  ขั้นหลับลึก หรือที่คนเค้าเรียกกันว่า หลับเป็นตาย จัดได้ว่าอยู่ในขั้นที่เราจะไม่ความรู้สึกรับรู้อะไรทั้งสิ้น คลื่นสมองจะกว้างและช้ามาก เหมือนออกมาอยู่อีกมิติหนึ่ง ในอวกาศที่ทุกอย่างดูดำมืดและว่างเปร่า
 ขั้นที่ 5 คือขั้น เข้าสู่ห่วงแห่งความฝัน ความฝันของเราเกิดจากที่สมองได้นำเรื่องที่ได้รับรู้มาทั้งวันมาเรียบเรียงและจัดเก็บให้เป็นเรื่องเป็นราว การฝันเป็นกระบวนการเปลี่ยนการรับรู้เป็นความทรงจำ
การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ มีผลทำให้ร่างกายสดชื่น แจ่มใส กระปรี้กระเปร่า ทำให้ฉลาด รับรู้เร็วเรียนรู้ไว เชื่อมโยงความคิดได้ง่าย ทำให้สูงเพราะเวลาที่เราพักผ่อน ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมนการเจริญเติบโตออกมา ทำให้โตเร็ว ตัวสูง และแก่ช้า การนอน ช่วยให้หุ่นดี เพราะการหลับจะไปช่วยดูแลระบบเผาผลาญด้วย
 
ท่านอน มีผลต่อสุขภาพ
ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุดเพราะทำให้เราหายใจสะดวก และทำให้ไม่ปวดหลัง และไม่ทำให้กรน
ท่านอน ตะแคงซ้าย ช่วยลดอาการ ปวดหลังได้ดี เป็นท่านอนที่ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นด้วยนะ
ท่านอนหงาย ท่านี้นอนสบาย แต่เป็นท่านอนที่อันตราย เพราะนอกจากทำให้ปวดหลังแล้ว ยังทำให้กะบังลมมากดทับหัวใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนัก นอนท่านี้มาก ๆ จะมีอาการเหมือนถูกผีอำ
นอนคว่ำ เป็นท่านอนที่อันตราย มาที่สุด เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก และทำให้เมื่อยคอค่ะ
 
การนอนหลับสนิทชนิด (หลับสนิทเกินไป)
การนอนกรน หากเราทำงานหนักมาทั้งวัน หรือเหนื่อยมาก ก็จะนอนหลับสนิทมากขึ้น การนอนหลับสนิททำให้ลิ้นตกลงไปปิดกั้นทางเดินหายใจ แต่ไม่ได้ปิดสนิทนะครับ ทำให้อากาศที่เราหายใจผ่านจมูก และผ่านลงไปยังโพรงจมูกด้านหลัง ผ่านไปไม่สะดวกนัก เกิดคล้ายการกระพือ บริเวณที่โคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรน อาการกรนนี้เป็นการกรนบางครั้งก็ ขัดขวางทางเดินของอากาศตอนหายใจทำให้ร่างกายได้รับออกชิเจน ในขณะหลับน้อยลง ทำให้ตอนตื่นเช้าจะรู้สึกไม่สดใส ปวดศีรษะตอนตื่นนอน กลางวันก็จะง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน และอาจทำให้หลับใน ทางแก้ คือ 1 นอนตะแคง อย่าที่เล่าให้ฟังไปเรื่องท่านอน หลีกเลียงการดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยาแก้แพ้ เป็นต้นและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การนอนไหลตาย เกิดขึ้นได้จาก การบริโภคอาหารที่มีสารพิษ วันละเล็กละน้อยจนสะสม จนเกิดเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจการ ขาดสารอาหารที่เป็น วิตามินบี ๑ อย่างรุนแรงเฉียบพลัน ขนาดที่ทำให้คนแข็งแรงเกิดความอ่อนเพลียและอยากนอน
พอหลับแล้วก็หัวใจวายตายเกือบจะทันที โรคไหลตายจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาวะทุพโภชนาการที่เกิดจากสุขนิสัยการกินที่ผิด 
การนอนละเมอ เกิดจากความฝัน และแสดงออกมาเป็นการกระทำจริง ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เป็นภาวะที่ร่างกายบอกให้รู้ว่าตอนที่ตื่นอยู่ไปเจอเรื่องเครียด ๆ มา หรือหำลังอยู่ในภาวะเครียด ถ้าเป็นมาก ๆ ควรไปพบแพทย์ เพราะการละเมอมาก ๆ อาจทำให้เราทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบางครั้งก็ก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อนตามมา เช่น ละเมอเดินตกบันได เป็นต้น
 


สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในเวลานอน
สี สีของผนังห้องนอนก็มีผลต่อการนอนเหมือนกัน เช่น สีฟ้า กับสีขาว สีขาว ให้ความรู้สึก กว้างขวาง สบายใจ สีเขียวให้ความรู้สึกสดชื่นสบายตา สีครีม กับสีชมพู ทำให้รู้สึกนุ่มนวล อบอุ่น ปลอดภัย
เรื่องแสง แสงมีผลต่อการนอนสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกันสำหรับ บางคนหลับยาก คนหลับยากโดยมากเป็นพวก คนกรุ๊ปเลือด B
สภาพแวดล้อมในการนอนชอบนอนแบบทุกอย่างจะต้องเงียบสงัด เพราะพวกเขารู้สึกว่า ความสงบนั้นคือการพักผ่อน แต่บางคน เช่น กรุ๊ปเลือด Aกับกรุ๊ปเลือด O จะชอบนอนในที่ที่แสงเล็กน้อย เพราะกรุ๊ปเลือด A ส่วนใหญ่จะ แอบกลัว สิ่งที่มองไม่เห็น หรือกรุ๊ปเลือด O เป็นเราขี้เหงา ขี้ระแวง การที่อยู่ในที่ที่ไม่มืดเกินไปทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว รู้สึกปลอดภัย หรือกรุ๊ปเลือด AB ส่วนใหญ่ก็จะก็เป็นคนหลับง่ายมาก ถึงขนาดสภาพแวดล้อมจะชวนตื่นแค่ไหนก็ไม่มีผลกับเค้าเลยนอกเสียจากตัวเค้าจะตื่นเอง
เสียง เสียงก็มีผลต่อการนอนสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่นกัน สำหรับบางคน บางคนหลับยาก เวลาจะนอนทุกอย่างต้องเงียบสนิท หรือบางคนขี้เหงา เวลานอนก็ชอบเปิดเพลงจากวิทยุฟังเบา ๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว
อาหาร

อาหารก็มีผลต่อการช่วยให้เราหลับสบายเหมือนกัน อาหารที่แนะนำคือ กล้วยหอม 1 ผล , นมอุ่น ๆแก้วเล็ก ๆ 1 แก้ว , แซนวิช ชิ้นเล็ก ๆ ซัก 3 -4 ชิ้น , ข้าวต้มปลาถ้วยเล็ก ๆ ซักถ้วย ถ้าให้ดีสุดก็ต้องเป็น น้ำอุ่น สะอาด ๆ 1 แก้ว ก่อนอน ค่ะ ไม่ควรทานของที่มีรสเปรี้ยว เผ็ด  เค็ม และน้ำชาต่าง ๆ เพราะของเปรี้ยว กับ รสเผ็ด จะไปกระตุ้นให้เรายังไม่รู้สึกอยากนอน หากฝืนหลับก็จะตื่นมามีกลิ่นปาก เป็นรสชาติที่กระตุ้นประสาท ส่วนรสเค็ม และชาต่าง ๆ ทำให้ไตทำงานหนัก ถ้ากินไปแล้ว ระวังจะปวดปัสสาวะกลางดึกนะคะ


เรื่องกลิ่น
ตลอดช่วงชีวิตของเรา เราได้หายใจรับกลิ่นต่างๆ เข้าไปในร่างกายมากมาย เช่น กลิ่นแก๊ส กลิ่นควันรถ กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นน้ำเน่า ทำให้รู้สึกเหม็น รู้สึกไม่ดี เครียด และหงุดหงิดง่าย ผลต่อสุขภาพกายคือ เซลล์รับกลิ่นอาจเสีย จนไปถึงความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง กลิ่นดอกไม้ กลิ่นอากาศยามเช้าในชนบท ทำให้เรารู้สึกโปรดโปร่ง ร่างกายแจ่มใส จิตใจสดชื่นเบิกบาน น้ำหอม ก็มีผลต่อจิตใจคนเรา เช่น กลิ่น  ดอกบัว และกระดังงา ช่วยลดความเครียด ความหดหู่ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เหมาะกำคนที่ต้องทำงานมาก ๆ เหนื่อยล้า หรือผู้ป่วยที่เครียด กลิ่น วานิลลา โรสแมรี่ เทียนหอม มะลิ ช่วยปลุกอารมณ์ทางเพศ กลิ่น กุหลาบ และ
ลิลลี่ยังช่วยให้รู้สึกถึงความมีอำนาจ แข็งแกร่ง อ่อนโยน นับว่าความดูดีมีเสน่ห์มากทีเดียว  กลิ่นของสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ มีอิทธิพลต่อชีวิตคนเราทั้งต่อร่างกาย และจิตใจของเรา แม้กระทั่ง เวลานอนเพราะขณะหลับ ต่อมรับกลิ่น ระบบหายใจและสมองของเรานั้น ยังทำงานอยู่ ทำให้ร่างกายเรา สามารถรับรู้ถึงกลิ่นต่างๆได้ เป็นอย่างดี กลิ่นที่ควรใช้ยามหลับ เพื่อการนอนอย่างมีความสุขและตื่นมาพร้อมเช้าที่สดชื่นคือ คือ กลิ่นน้ำหอมจากดอกบัว มะลิ กุหลาบ ซะกุระ ลาเวนเดอร์ และแอปเปิล พรมน้ำหอมกลิ่นเหล่านี้อ่อน ๆ บนที่นอนก่อนนอนประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออาบน้ำด้วนสบู่ที่มีส่วนผสมของกลิ่นดอกไม้เหล่านี้ กลิ่นที่ไม่ควรใช้เลยคือกลิ่นเปปเปอร์มิ้น หอมสดชื่นก็จริง แต่ถ้าใช้เวลานอน จะทำให้ฝันผวาและมีอาการปวดศีรษะ ส่วนใบเตยหอมชื่นใจก็จริง แต่อาจทำให้มีผลทำให้ตื่นเพราะปวดปัสสาวะกลางดึกได้  ที่สำคัญคือห้ามปลูกต้นไม้ในห้องนอน เพราะตอนกลางคืน ต้นไม่จะคลายก๊าซคาบอนไดออกไซมาแข่งกับเรา ทำให้หายใจไม่ออกและตื่นมาไม่สดชื่น
 
เรื่องความสะอาด
ห้องนอนก็มีผลทำให้รู้สึกสดชื่นและหลับสบาย และทำให้เราสุขภาพดีด้วย ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่อย่างเรา เพราะสิ่งที่เรามองข้ามไปคือ  เรื่องการอาบน้ำนั้นเอง ตรงนี้ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าท่านไม่ได้อาบน้ำนะ แต่หมายถึง เราใส่ใจการอาบน้ำของเราแค่ไหน ก่อนนอน ทุกท่านถ้าอยากที่จะนอนหลับพักผ่อนให้สบาย ถ้าเป็นวันที่อากาศหนาวก่อนอาบน้ำท่านควรจะ เอาเท้าแช่น้ำอุ่น ประมาณไม่เกิน 5 นาทีเพื่อปรับอุณหภูมิ และอาบน้ำโดยอุ่นหรือน้ำในอุณหภูมิที่ปกติ แต่ที่สำคัญเลยคือ ไม่ควรอาบน้ำด้วยน้ำเย็น และไม่ควรตากลม เวลานอนควรใส่ถุงเท้าและอย่าลืมห่มผ้า ถ้าเป็นวันที่อากาศร้อน ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ควรอาบทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกร้อนกว่าเดิมและหลับไม่สบาย ส่วนน้ำเย็นจะทำให้ระบบความร้อนของร่างกายทำงานหนัก ถ้าร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันจะทำให้ป่วยง่าย และที่สำคัญในคืนที่อากาศร้อนคือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน เพราะใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ทำให้มีเหงื่อมาก นอนไม่สบายตัว ผ้าที่ที่สุดคือ ผ้าฝ้าย เพราะผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ควรเช็ดตัวและผมให้แห้ง จะทำให้เราไม่เหม็นอับชื้น อย่านอนตอนผมเปียก นอกจากทำให้นอนหลับไม่สบายและอาจป่วยง่ายแล้ว ยังทำให้เป็นรังแค และมีอาการคันอย่างน่ารำคาญด้วย  อีกข้อที่สำคัญคือ ควรดื่มน้ำ แต่ไม่ควรดื่มมาก เพราะจะทำให้หลับไม่สบาย อากาศเย็นทำให้ปวดปัสสาวะและตื่นกลางดึกบ่อย ๆทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว จะส่งผลให้เราป่วยง่ายด้วย แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำเลย จะทำให้ถุงน้ำดีขาดน้ำ   เป็นผลให้ สายตาเสื่อม นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือจามตอนเช้า  อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่สดชื่น   การสวดมนต์ก่อนนอนก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งเพราะทำให้เราหลับได้อย่างสงบและสบายใจ
ตื่นมา ควรอาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะใช้น้ำเย็นล้างหน้าช่วยลดความบวมของหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงที่คุณเพิ่งตื่นนอน การควรอาบน้ำที่เย็น และควรใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีกลิ่นของ ดอกบัว มะลิ หรือน้ำมันมะกอก  เพื่อให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และที่สำคัญคือรับแสงแดดในทุก ๆ เช้า อย่าลืมทานข้าวเช้ากันด้วยนะคะ
 
                                                                                                                        ด้วยรักและห่วงใย   ^__^
 





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-03 11:50:05




มารู้จักกับโรคความดันโลหิตสูงที่ใครๆก็เป็นได้ มารู้จักกับโรคความดันโลหิตสูงที่ใครๆก็เป็นได้

มารู้จักกับโรคความดันโลหิตสูงที่ใครๆก็เป็นได้

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

วันนี้เราจะมีพูดถึงโรคยอดฮิตที่ผู้คนส่วนมากมักจะเป็นกันไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งโรคยอดฮิตที่จะกล่าวถึงวันนี้ก็คือ โรคความดันโลหิตสูง นั่นเอง ซึ่งหากว่าเป็นแล้วโดยมากมักจะรักษาไม่หายต้องกินยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในสภาพปกติอยู่เสมอ ถ้าหาเราปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อยๆและมักจะมีความเสี่ยงต่อการทำให้เส้นเลือดในสมองแตก จึงทำให้เกิดการเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตในที่สุด
 
ความดันโลหิตสูงคืออะไรและวัดได้อย่างไร
เลือดในร่างกายของคนเรานั้นจะมีความดันอยู่ ซึ่งความดันนี้จะคอยผลักเลือดให้เดินทางไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ โดยทั่วไปแล้วอัตราการเต้นของหัวใจในคนปกติจะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 60-80 ครั้ง ซึ่งความดันโลหิตนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออาการบีบเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตที่วัดได้จากคนปกติจะได้ 120/80 ถึง 139-89 มิลลิเมตรปรอท หากใครวัดได้เงินนี้ก็ถือว่าเป็นโรคความดันสูง แต่บางครั้งความดันโลหิตของคนเราในแต่ละเวลามักจะไม่เท่ากัน เพราะนั่นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่น สภาพแวดล้อม , อารมณ์ , ความเครียด , อายุ , เพศ เป็นต้น เหล่านี้ทำให้ความดันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
 
ความรุนแรงของความดันโลหิตสูงนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับคือ
1. ความดันโลหิตสูงระยะแรก โดยสามารถวัดความดันโลหิตได้ที่ระหว่าง 140-159/90-99 มิลลิเมตรปรอท
2. ความดันโลหิตสูงระยะปานกลาง โดยสามารถวัดความดันโลหิตได้ที่ระหว่าง 160-179/100-109 มิลลิเมตรปรอท
3. ความดันโลหิตสูงระยะรุนแรงโดยสามารถวัดความดันโลหิตได้ที่ระหว่าง 180/110 มิลลิเมตรปรอท
 
เพราะอะไรจึงเป็นความดันโลหิตสูง
การเป็นความดันโลหิตสูงนั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่โรคความดันโลหิตสูงสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้สูงวัยหรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน และนอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยบางประเภท เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองต่อมหมวกไต , โรคเบาหวาน , โรคโลหิตจางขั้นรุนแรง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยเสียงต่อการเป็นโรคโลหิตจางอีก โดยปัจจัยเสี่ยงต่างๆก็มักจะมาจาก กรรมพันธุ์ , ความเครียด , ภาวะของน้ำหนักที่มากจนเกิดไป , มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย , สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ส่งเป็นต่อสภาพจิตใจ เป็นต้น
 
อาการของผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงนั้นเป็นอย่างไร
โดยมากแล้วอาการของผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงที่พบได้บ่อยมักจะมีอาการ ปวดหัว , มึนศีรษะ , มึนงง , เวียนหัว , เหนื่อยง่าย , แน่นหน้าอกและนอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้เป็นการที่สะท้อนออกมาให้เห็นสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจึงจำเป็นต้องหายาควบคุมความดันมารับประทานเพื่อไม่ให้ความดันโลหิตสูงจนเกินไป และจะทำให้เกิดอาการเหล่านี้ตามมา


การรักษาและการป้องกันโรคโลหิตจาง

  1. งดสูบบุหรี่
  2. เลี่ยงอาหารที่มีความเค็มจัด
  3. ตรวจวัดความดันอยู่เสมอ
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ
  6. ทำจิตใจให้ร่าเริง ไม่เครียด
  7. ทานอาหารที่มีธาตุโพแทสเซียมและแมกนีเซียม เช่น กล้วย มันฝรั่ง และผักใบเขียว

 
 
 





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-03 11:47:44




การลดความอ้วนด้วยวิธีีควบคุมการนอนและการเดิน การลดความอ้วนด้วยวิธีีควบคุมการนอนและการเดิน

การลดความอ้วนด้วยวิธีีควบคุมการนอนและการเดิน

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

ความอ้วนนั้นนับได้ว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากจะประสบและพบเจอ แต่บางครั้งความอ้วนก็มาหาคุณได้โดยที่มาค่อยๆคืบคลานมาอย่างช้าๆจนคุณแทบจะไม่รู้ตัวและไม่ว่าวัยไหนๆก็สามารถถูกความอ้วนเข้าครอบงำได้ทั้งนั้นโดยไม่แบ่งว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย นอกจากนี้แล้วความอ้วนยังนำพามาซึ่งโรคภัยต่างๆนาให้คุณต้องเสียเงินเสียเวลาเพื่อที่จะต้องวิ่งไปหาหมอรักษาบ่อยครั้งอีกด้วย ดังนั้นเรามาทำความรู้จักและหาวิธีชนะความอ้วนกันเถอะ
 
ความอ้วนเกิดจากอะไรได้บ้าง
บางครั้งความอ้วนมันก็เกิดขึ้นมาเองที่เขาเรียกกันว่ากรรมพันธุ์ โดยการจากกรรมของตัวเราที่ได้รับมาจากสายพันธุ์ที่ถูกสืบทอดมานั้นๆ ซึ่งกรณีนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่เราสามารถควบคุมและลดความอ้วนให้อยู่ในสภาวะปกติได้เช่นเดียวกัน อีกกรณีหนึ่งเกิดจากอาหารการกินและพฤติกรรมการกิน คนอ้วนกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมการกินที่มากกว่าปกติและชอบทานอาหารที่ทำให้อ้วนเช่น อาหารหวาน และอาหารที่มีไขมันมากๆ
 
จากสองสาเหตุที่ได้กล่าวมีนี้คุณสามารถลดความอ้วนได้ด้วยวิธีธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือการใช้เครื่องมือแพทย์ต่อต่างๆในการรักษา เพราะจะทำให้เสียเงินโดยใช่เหตุและไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแต่มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและความอ้วนจะกลับมาอีกก็เป็นได้ ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุของความอ้วน นั่นคือการปรับพฤติกรรมต่างๆในการใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันนั่นเอง ผลลัพธ์ที่ได้จะมีความยั่งยืนตลอดอายุขัยของคุณเพราะคุณได้เปลี่ยนนิสัยและพฤติกรรมของคุณในทุกๆวันแล้วนั่นเอง ความยากของวิธีนี้คือความเพียรพยายาม ผู้คนส่วนมากมักทำไม่ได้และล้มเลิกไปก่อนทั้งๆที่ใกล้จะเริ่มเห็นผลอยู่แล้ว ดังนั้นกำลังใจ ความพยายาม และพลังใจที่เข้มแข็งจึงมีความสำคัญในการเอาชนะความอ้วนด้วยวิธีนี้
 
เมื่อคุณอ้วนแล้วคุณจะได้รับอะไรจากความอ้วน
ความอ้วนเมื่อมันมาอยู่กับตัวของคุณแล้ว มันมักจะมีของสมนาคุณให้กับคุณเสมอ อย่างแรกเลยมันมาพร้อมกับบุคลิกที่อ้วนเทอะทะทำให้คุณขาดความมั่นใจในการไปพบปะเพื่อนฝูงหรือเข้าสังคม สำหรับเรื่องการเดินหรือวิ่งจะทำให้คุณทำได้ไม่สะดวกและมักจะเหนื่อยง่ายเนื่องจากน้ำหนักที่มากเกินไปทำให้คุณเสียบุคลิกในการเดินอีกด้วย ต่อมาคือเรื่องของสุขภาพและแน่นอนว่าสุขภาพของคุณจะไม่ค่อยดีเพราะความอ้วนช่วยเรียกโรคภัยไข้เจ็บต่างๆเข้ามาหาคุณ ทำให้คุณป่วยง่าย และต้องไปหาหมอบ่อยๆเพื่อต้องคอยตรวจหาโรคต่างๆ และหากคุณเป็นโรคแล้วจะทำให้หายช้ากว่าปกติและรักษายาก โรคยอดฮิตของความอ้วนก็เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น
 
วิธีลดความอ้วนแบบควบคุมการนอน
การนอนมีผลกับความอ้วนได้อย่างไร? การเผาผลาญพลังงานต่างๆในร่างกายมักจะเผาผลาญน้อยลงเมื่อเรานอนหลับ หากพลังงานในร่างกายที่มีอยู่มากเกินไปนั้นเราเผาผลาญไม่หมดและเหลือเยอะเกินไปมันก็จะไปทำให้เกิดร่างกายที่อ้วนท้วมขึ้นมาทีละน้อยจนเราอาหารกับความอ้วนแทบจะไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนอ้วนซะแล้ว ดังนั้นการนอนจะเป็นตัวความคุมที่สำคัญเช่นกัน จากการสำรวจโดยทั่วไปมักพบว่าคนอ้วนจะนอนกลางวันในเวลาที่มากกว่าครึ่งชั่วโมง และเหตุผลนี้เองจึงทำให้พลังงานและไขมันในร่างกายไม่ถูกเผาผลาญให้หมดสิ้นไป แต่คงเหลือไว้ไปก่อนให้เกิดความอ้วนที่เพิ่มขึ้นตามมา สำหรับการนอนตอนกลางคืนก็เช่นเดียวกัน เราก็ควรนอนให้พอดีนั่นคือ 7-8 ชั่วโมง ถ้ามากกว่านั้นก็จะทำให้อ้วนได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าน้อยกว่านั้นจะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ตรงข้อนี้จึงอยากเตือนเรื่องการนอนกลางวันสำหรับคนอ้วน หากไม่นอนได้ยิ่งดีเลยทีเดียว แต่หากจำเป็นต้องนอนจริงๆเพราะมีเหตุผลที่ต้องพักผ่อนร่างกายก็สามารถนอนได้แต่ไม่ควรเกิดครึ่งชั่วโมงนะสำหรับการนอนกลางวัน
 
วิธีลดความอ้วนแบบความคุมอาหาร
รู้ทั้งรู้ว่าอาหารนั้นกินแล้วอ้วน อาหารนี้ไขมันเยอะ แต่ก็กิน เพราะนั่นคือคุณมีพฤติกรรมที่ทำมาต่อเนื่องเป็นเวลานานจนติดเป็นนิสัย และการกินจุกจิก กินบ่อยๆ กินทีละนิด กินทั้งวัน อันนี้ก็เป็นเหตุให้อ้วนได้เช่นเดียวกันและส่งผลให้อ้วนมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นคุณอาจต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินอาหารเสียใหม่โดยที่คุณไม่ต้องไปอดให้ทรมานร่างกาย เพียงแค่คุณกินอาหาร เช้า  กลางวัน  เย็น แค่นี้พอ ส่วนระหว่างวันเกิดหิวน่ะเหรอทำไง...ก็กินน้ำเปล่าไปสิครับ วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้อร่อยแต่ช่วยให้ปะทังความหิวโหยระหว่างวัน...เพราะคนอ้วนบางครั้งก็หิวบ่อยนะทำไงได้ล่ะ สำหรับอาหารกินให้พอดีแค่อิ่มนะ ไม่ใช่ว่ากินสามมื้อแต่กินแต่ละมื้อจัดเต็มแบบเอาให้หายอยาก ซึ่งแบบนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการลดความอ้วนน่ะ จำไว้ว่ากินแค่อิ่ม แค่ไม่รู้สึกหิวก็พอ พยายามเข้าล่ะสู้ๆ
 
วิธีลดความอ้วนแบบออกกำลังกาย (เดิน)
วิธีนี้ใครๆก็รู้ว่าเป็นวิธีลดความอ้วนที่ดี แต่ใครๆที่รู้มักจะไม่ค่อยทำกันหรอก...จริงมะ  บางครั้งก็อาจเป็นเพราะเวลาไม่มีหรือไม่สะดวกหรืออีกหลากหลายมากมายเหตุผลที่ทำให้คุณมาอ้างว่าไม่ว่างจริงๆเลยไปออกกำลังกายไม่ได้(เค้าไม่ได้ขี้เกียจออกกำลังกายนะ)เดินเพื่อลดความอ้วน ถ้ามันลำบากขนาดนั้นลองวิธีนี้ดูไหมครับ....ไม่ออกกำลังกาย ไม่วิ่ง งั้นให้เดินออกกำลังกายก็ได้ โดยที่คุณจะเดินไปไหนก็ได้ เช่น จีบสาว , ชมนก , ชมไม้  , ไปเม้ากับเพื่อน ทำอะไรก็ได้ให้คุณได้เดิน โดยนในแต่ละวันพยายามหาเรื่องเดินให้มากๆ นั่งให้น้อยๆ เพื่อที่พลังงานจะได้ถูกเผาผลาญวันละนิดวันละหน่อย ถึงจะเห็นผลช้าแต่ได้ผลจริงๆนะครับ หากงานของคุณต้องนั่งทั้งวัน ก็พยายามหาเรื่องเดินนะ สู้ๆ
 
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความอ้วนได้ลองเอาเทคนิคง่ายๆไปใช้กันดูครับ และหากทำแล้วอย่าลืมวัดผลทุกๆ 4 เดือนนะ คุณต้องทำให้เป็นนิสัยนะโดยอย่ามาหวังว่า 1 อาทิตย์  มันจะเห็นผล  เพราะมันเร็วเกินไปที่จะเห็นผล ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมจะรออยู่ ณ วันที่นี้ เดือนนี้ แต่เป็นปีหน้า แล้วลองดูว่าทำได้จริงเปล่า ขอให้มีความพยายามนะทุกท่านๆผมจะเอาใจช่วยครับ





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-03 11:45:46




ทานข้าวกล้อง คู่กับ ปลา-ผัก และดื่มน้ำเปล่า เป็นอาหารหลักกันเถอะ ทานข้าวกล้อง คู่กับ ปลา-ผัก และดื่มน้ำเปล่า เป็นอาหารหลักกันเถอะ

ทานข้าวกล้อง คู่กับ ปลา-ผัก และดื่มน้ำเปล่า เป็นอาหารหลักกันเถอะ

ประเภท : สุขภาพ

รายละเอียด

เพศไหน วัยไหน ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หรือเฟื่องฟูแค่ไหน ข้าวกล้อง ปลา ผัก น้ำเปล่า ก็ยังเป็นอาหารที่เราทานกันได้ตลอดเสมอ มีตั้งแต่ระดับที่แพง อย่าง สเต็กเนื้อปลาชั้นดี กับสลัดผัก และข้าวกล้องผัด จนไปถึง เมนูครอบครัวสุดประหยัด อย่างผักสดที่ทานคู่กับน้ำพริกปลาทู ที่ปู่ย่าตายายเราชอบทานกัน นอกจากเป็นชนิดอาหารที่หาทานง่าย แบ่งระดับผู้ทานตามรสนิยมได้หลากหลายแล้ว ยังเป็นเมนูที่ทานได้เข้ากับกลุ่มเมนูอื่น ๆ (เพื่อความหลากหลายทางโภชนาการค่ะ) ไม่ว่าจะ เอาไก่ย่าง หมูปิ๊ง ไข่เจียว ไข่ตุ๋น ซุปเห็ด แกงหรือต้มยำต่าง ๆ ก็เข้ากันด้วย ส่วนคุณค่าทางโภชนาการก็ตามข้อมูลด้านล่างเลยค่ะ

ข้าวกล้อง
ถึงแม้ว่าสีและกลิ่นมันจะดูไม่น่าทานเท่าไหร่ และถึงแม้ว่ามันจะแพงกว่าข้าวขาวเล็กน้อย แต่ถ้าลองนำเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการแล้วเอามาเปรียบเทียบกันดู เราจะรู้ว่า ทานข้าวกล้องน่ะ คุ้มกว่าเยอะ เพราะมันมีสารอาหารอื่นนอกจากแป้งอีกเพียบ เช่น สารโคลีน ช่วยบำรุงข้าวกล้องสมอง พบมากในจมูกข้าว วิตามินบีรวม บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ ที่มาคู่กับแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยดูแลกระดูกและฟัน ทองแดง ทำหน้าที่สร้างเมล็ดโลหิต มาคู่กับธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ไขมันและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย <ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีคอเลสเตอรอล>  ประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ทานของดีก็ต้องระวัง ข้าวกล้องเก่า ๆ สีน้ำตาลเข้ม ๆ มีจุดแต้มสีดำ ๆ นั่นล่ะ มีสารก่อมะเร็งเพราะตรงส่วนที่เป็นดำ ๆ ของข้าวกล้อง ก็มีเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ตัวที่สร้างสารอะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับ วิธีป้องกันก็แค่
1. เลือกข้าวที่แห้งสนิทจริงๆ ไม่มีกลิ่นอับชื่น ไม่มีมอด และไม่ขึ้นรา                                                                                              
2. ควรเลือกซื้อเฉพาะข้าวกล้องที่บรรจุอยู่ในถุงที่สะอาดและปิดสนิท                                                                             
3.บรรจุภัณฑ์ควรมีราคาที่จำหน่ายและสถานที่ผลิตที่น่าเชื่อถือ
4. อย่าเก็บไว้นานจะทำให้ขึ้นราง่าย                                                                                                                                                                                                   

 ปลา   ยำปลาทูน่า สเต็กปลาดอลลี่ ปลาแซวมอนซาชิมิ ปลานึ่งมะนาว ปลาอินทรีสามรส ข้าวต้มปลาอินทรี ปลาทูทอด ปลาดุกย่าง ปลานึ่ง ปลาลวก  มีเยอะแยะ เมนูปลา กับประโยชน์สารพันมามาย
ปลาที่มีขายกันทั่วไป ที่เรากิน ๆ กันนี่ล่ะ แต่จะดีมากถ้าเป็นปลาทะเล เพราะ นอกจากจะอร่อย ย่อยง่าย และมีคอเลสเตอรอลต่ำด้วยแล้ว ปลายังเป็นส่วนสำคัญในการเป็นอาหารบำรุงสมอง เพราะเนื้อปลา คือแหล่งของโปรตีนชั้นยอด และกรดไขมันไขมันขั้นดีอย่าง โอเมก้า-3-6 -9 <โอเมก้า-3 พบมากที่สุดในสมองและตาของปลา> และวิตามินรวมถึงเกลือแร่ชนิดอื่น ๆ ด้วย อ้อ รู้ไหม ปลาคืออาหารชั้นยอดที่ทานทำให้คุณหุ่นแป๊ะ สมองดีแล้ว การทานปลายังช่วยคลายอาการซึมเศร้าอีกด้วย เนื่องจากมี กรดไขมันโอเมก้า-3-6-9 ซึ่งจำเป็นในการพัฒนาสมอง
 
ผัก    ผักโขมอบชีส สลัดผัก ยำคะน้ากรอบ แกงส้ม ผัดผักบล็อกโคลี ผักสดกับน้ำพริกผักปลามีวิตามินมากมาย
ผักคือความหลากหลายที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น ผักมีความสวยงามจากสีสันและประโยชน์ตามธรรมชาติของมัน ที่เราสามารถนำความแตกต่าง มาสร้างสรรค์เมนูอาหารในแต่ละจานของเรา ไม่ว่าจะเป็น ฟักทอง แครอท  มะเขือเทศ  มะละกอ ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี ชะอม กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีม่วง มะเขือม่วง ข่า ขิง กระเทียม หอมใหญ่ หอมแดง พริก  ถั่วดำ/แดง มันสีม่วง เผือก ลูก พรุน งา และลูกเดือย ล้วนมีประโยชน์ เช่น ดูแล ระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่าง ๆ ในร่างกาย  โดยฉะเพราะหัวใจ หลอดเลือด ระบบประสาทตา  ควบคุมความดันเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด ช่วยชะลอการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว เลือด  ต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเกิดมะเร็ง ช่วยชะลอความเสียหายของเซลล์และอวัยวะในร่างกาย ทำให้หน้าใส ชะลอความแก่ เป็นต้น

<เพิ่มเติม>   ผักกับปลานี่คือสุดยอดอาหาร โดยฉะเพราะคนที่ตั้งครรภ์ เพราะโภชนาการของทารกในครรภ์นั้น ต้องอาศัยอาหารจากแม่ที่รับประทานเข้าไป จากการศึกษาพบว่า แม่ที่รับประทานอาหารประเภทปลา ที่มีโอเมก้า-3 หรือ DHA เข้าไปพอสมควร ช่วยในการพัฒนาของสมอง และการทานผักผลไม้ จะทำให้แม่และทารกมามีภูมิต้านทานโรคที่ดี ผักและผักหลายชนิดก็มี สารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง นอกจากนี้ ผักยังมีกรดที่สำคัญมากสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ ช่วยในการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกจากแม่ไปสู่ลูก


น้ำเปล่า
รู้นะว่าชอบกันจัง น้ำอัดลม น้ำผลไม้ กาแฟ แต่รู้ไหมว่านอกจากมีน้ำตาลมากแล้ว น้ำเหล่านี้น่ะ ใส่สีผสมอาหาร น้ำอัดลมก็ อัดแก๊สคาบอนไดออกไซน์มาก  ส่วนชา กาแฟ และน้ำอัดลมอีกบางประเภทก็มีมีคาเฟอีน ซึ่งแน่นอนว่าดื่มมาก ๆคงไม่ดีต่อร่างกายแน่
การดื่มน้ำเปล่า ช่วยให้ดับกระหายคลายร้อน น้ำก็คือส่วนประกอบสำคัญของเลือดและสมอง หรือแม้กระทั่งเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย เพราะในเลือดก็จะมีก๊าซและสารอาหารต่าง ๆ ที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในระบบต่าง ๆ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระไหวเวียนเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบควบคุมอุณหภูมิร่างกาย โดยฉะเพราะระบบประสาท สมองเราน้ำมีน้ำมากถึง 80%  การใช้ร่างกายและสมองในแต่ละวัน  เราก็ต้องศูนย์เสียน้ำ นั่นแปลว่าเราจะต้อง ดื่มน้ำทดแทนด้วย เพราะสมองจำเป็นต้องใช้ รู้ไหม การดื่มน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องนั้น ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดอาการการปวดศีรษะ และความจำดี นอกจากนี้ การดื่มน้ำ ไม่ต่ำกว่า 6-8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้ผิวพรรณจะดี ไม่เหี่ยวย่นง่าย เนื่องจากผิวได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำสม่ำเสมอ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง และยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย การดื่มน้ำสะอาดช่วยให้ไตแข็งแรง น้ำเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน น้ำมีส่วนช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไม่มีอาการท้องผูก ขับถ่ายได้ง่าย ไม่อ้วนด้วย





ดูรายละเอียดทั้งหมด -> เมื่อวันที่ : 2013-11-03 11:45:27